ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น กำไรจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่ม แต่สิ่งหนึ่งที่อ่านแล้วรวยอยากให้นักลงทุนมือใหม่ใส่ใจมากๆ ก็คือ เงินปันผล
เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) คำนวณได้จาก เงินปันผล (ต่อปี)ต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น ใช้เปรียบเทียบ อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ได้จากเงินปันผล ของหุ้นที่มีราคา แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
หุ้น A | หุ้น B |
เงินปันผลต่อหุ้น = 4.0 บาท | เงินปันผลต่อหุ้น = 4.0 บาท |
ราคาปิด = 80 | ราคาปิด = 120 |
Dividend Yield = 5% | Dividend Yield = 3.33% |
หุ้น A ให้เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูงกว่า เนื่องจากหุ้น A มีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่หุ้นทั้ง 2 จ่ายเงินปันผลเท่ากัน คือ 4.0 บาท
หรือ อีกนัยหนึ่ง ประมาณว่าถ้านักลงทุน ลงทุนในหุ้น A โดยซื้อที่ราคา 80 บาท และหุ้น A จ่ายเงินปันผลเท่าเดิม นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล 5% ต่อปี
จะเห็นว่าตัวเลข เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) นอกจากจะใช้เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทน จากเงินปันผลของหุ้น ที่มีราคาต่างกันแล้ว ยังสามารถใช้เป็นปัจจัยในการเปรียบเทียบหุ้นนั้นๆ กับการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นกู้ การฝากเงิน หรือพันธบัตร
นักลงทุนที่ไม่ปรารถนาที่จะรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น เช่น นักลงทุนรายใหม่ หรือ นักลงทุนที่ถอนเงินจากการฝากเงิน มาลงทุนในหุ้น อาจมองหาหุ้นที่มี เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูง จากตัวอย่างข้างต้นหุ้น A ให้เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เท่ากับ 5% ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) คำนวณจากการจ่ายเงินปันผลในอดีต ในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา ไม่สามารถรับรองได้ว่า การจ่ายเงินปันผลจะเหมือนเดิมในอนาคต นอกจากนี้เงินต้นจากการลงทุน จะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นที่เปลี่ยนไปเมื่อทำการขายหุ้น ดังนั้นตัวเลขจึงเป็นเพียงตัวบ่งชี้ เพื่อการตัดสินใจของนักลงทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น