วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น : กองทุนรวม รวยได้ไหม Rich with mutual fund

ปัจจุบันผู้มีเงินออมรู้จักช่องทางการลงทุนมากขึ้น หนึ่งในนั้น คือการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งบริหารโดยผู้จัดการกองทุน ที่เป็นมืออาชีพด้านการลงทุนทั้งการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้  สินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำ น้ำมัน และสินค้าเกษตร เหล่านี้เป็นต้น 
นอกจากนี้ปัจจุบันกองทุนรวมก็มีหลากหลายให้เลือกสรรตามระดับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายผลตอบแทนที่แต่ละคนต้องการ

ก่อนที่จะนำเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนที่เราไว้ใจให้บริหารจัดการลงทุน  นักลงทุนต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ  สำหรับเคล็ดลับพื้นฐานในการเลือกกองทุนรวมให้ตรงกับความต้องการ จากการสำรวจไปยังผู้จัดการกองทุน พอสรุปได้10 ข้อดังต่อไปนี้

1.ที่มาของผลตอบแทน หรือรีเทิร์น 

ทั้งนี้แม้อัตราผลตอบแทนเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญของธุรกิจกองทุนแต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง  นักลงทุนควรสืบหาว่าตัวเลขที่ปรากฏนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร เช่น การเทียบผลตอบแทนกองทุนทุกๆเดือนกับดัชนี  โดยหาเดือนที่ผลตอบแทนสูงเป็นพิเศษแล้ววิเคราะห์ว่าเดือนที่สามารถชนะตลาดนั้นมาจากปัจจัยใดบ้าง และผู้จัดการกองทุนน่าจะสามารถทำซ้ำได้อีกในอนาคตหรือไม่

2. เปรียบเทียบผลการดำเนินงาน 

เนื่องจากกองทุนรวมมีหลายประเภท ดังนั้นการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนควรเปรียบเทียบระหว่างกองทุนที่มีนโยบายและคุณสมบัติคล้ายกันที่สุด  เช่น  กองทุนที่ลงทุนในหุ้น  ก็มีหลากหลาย ดังนั้นต้องเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายเดียวกัน เช่น นโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET 50  เป็นต้น

3. ซื้อของดีและถูก 

กองทุนแต่ละกองมีค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อย ทั้งค่าบริหารกองทุน ค่าผู้ดูแลผลประโยชน์  และค่าทำการตลาด เป็นต้น  โดยทั่วไป กองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงมักจะมีค่าใช้จ่ายมากตามไปด้วย  ข้อมูลอัตราส่วนค่าใช้จ่าย หรือเปอร์เซ็นของสินทรัพย์ที่จะต้องหักไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ สามารถบอกได้ว่ารายได้สุทธิที่นักลงทุนจะได้รับจะถูกลดตัดตอนไปมากน้อยเพียงใด และคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้รับกลับคืนมากแค่ไหน

4. หลีกเลี่ยงกองทุนที่มีเทิร์นโอเวอร์สูง หรือกองทุนที่มีอัตราหมุนเวียนหลักทรัพย์สูง หรือมีการซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยครั้ง

ทั้งนี้เพราะจะทำให้มีค่าใช้จ่ายทางอ้อมต่อเงินของนักลงทุน คือ ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมหรือคอมมิชชั่นนั่นเอง

5. ทำความรู้จักผู้บริหารกองทุน

นักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวทางการลงทุนของผู้จัดการกองทุนได้หลายทาง เช่น การคำนวณทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อหากลยุทธ์ของผู้จัดการกองทุนว่ามีประสิทธิภาพเข้ากับสไตล์ของผู้ลงทุนหรือไม่

นอกจากนี้อาจเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนกับกรอบดัชนีที่หลากหลาย เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม ขนาดของหลักทรัพย์ ขอบเขตภูมิภาค แล้วผู้ลงทุนอาจจะพอเห็นว่าธรรมชาติของผู้จัดการกองทุนนั้นๆ มีแนวโน้มตามตลาดใด ชอบตัวแปรปัจจัยใดเป็นพิเศษ และแพ้ทางสถานการณ์แบบใด ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานกลางหลายแห่ง มีบริการจัดอันดับกองทุนตามวิธีของตนเผยแพร่กับนักลงทุนมากขึ้น
6. แอ็คทีฟ กับ แพสซีฟ ฟันด์    กองทุนแบบแพสซีฟ ( passive) 

คือ กองทุนที่ไม่ได้ถูกบริหารอยู่ตลอดเวลา การบริหารกองทุนประเภทนี้ไม่ต้องการหาช่องทางในการชนะตลาดเหมือนกองทุนแบบแอคทีฟ( active) แต่จะพยายามเลียนแบบผลตอบแทนและความเสี่ยงของดัชนีที่เลือกไว้ (เช่น SET50)

เนื่องจากกองทุนประเภทนี้ไม่ต้องบริหารจัดการและการตัดสินใจอะไรมากมาย ค่าใช้จ่ายการจัดการกองทุนจึงน้อย

7. ทีมผู้บริหาร สไตล์การบริหารของผู้บริหารและนโยบายของบริษัทจัดการกองทุนหรือบลจ. 

สามารถสร้างความแตกต่างในการบริหารกองทุนได้   เพราะการมีบริษัทแม่ที่แข็งแกร่ง มีทีมผู้บริหารที่มากประสบการณ์  ย่อมสามารถดึงตัวผู้จัดการกองทุนเก่งๆประสบการณ์สูงมาทำงานด้วยได้

8. คัดทิ้งอาจเป็นการเลือกที่ดีที่สุด 

ปัจจุบันบลจ.แข่งกันออกผลิตภัณฑ์กองทุนรวมอย่างดุเดือด  และจะเห็นได้ว่าบางกองทุนก็แค่เปลี่ยนคุณสมบัติจากกองอื่นๆเล็กน้อยเพื่อให้ตั้งชื่อใหม่ได้  ทำให้การเลือกลงทุนยากขึ้นทุกวันๆเพราะมีตัวเลือกมากมาย  ดังนั้นการตัดตัวเลือกทิ้งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ  แทนที่นักลงทุนจะวิเคราะห์คัดเลือกกองทุนทีละกองมาใส่พอร์ตการลงทุนของตัวเอง  นักลงทุนสามารถกำจัดกองทุนที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของตัวเองออกไป และลงทุนในกองทุนที่ผ่านเกณฑ์

9.กองทุนขนาดใหญ่ อาจไม่ใช่กองทุนที่ดี 

ทั้งนี้เมื่อผลประกอบการดี ขนาดของกองทุนจะโตขึ้นเรื่อยๆ จากการเพิ่มค่าของสินทรัพย์ในกองทุน และเงินที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักลงทุน การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น ถ้าเป็นกองทุนดัชนีหรือตราสารหนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะค่าใช้จ่ายจะถูกกระจายไปยังสินทรัพย์ที่มากขึ้น และอำนาจต่อรองของตลาดตราสารหนี้มักขึ้นกับปริมาณที่ซื้อ จึงลดต้นทุนต่อหน่วยลงทุน

อย่างไรก็ตามความใหญ่โตอาจส่งผลเสียต่อกองทุนแบบอื่นๆ เช่นกองทุนหุ้นได้  ประการแรกคือ กองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องเพียงไม่กี่ตัว กองทุนที่มีขนาดใหญ่จะทำให้การซื้อขายหลักทรัพย์ยากขึ้นเมื่อตลาดมีสภาพคล่องต่ำ  ประการต่อมา กลยุทธการลงทุนอาจจะต้องเปลี่ยนแปลง วิธีบริหารกองทุนที่เคยใช้ได้ดีในอดีตอาจจะไม่ได้ผลเมื่อขนาดกองทุนนั้นเพิ่มเป็นสองเท่า ประการสุดท้าย เมื่อผู้จัดการกองทุนมีเงินมากและเงินเหล่านั้นจะต้องถูกใช้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจอาจจะทำให้ผลลัพธ์ไม่ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น : มือใหม่หัดรวย ก้าวที่ห้าต้องรู้

                อ่านแล้วรวย   หลังจากบริษัทต่างๆ ได้รับอนุญาต จากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ให้ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ กล่าวคือ เป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว บริษัทดังกล่าวก็จะเริ่มขั้นตอนนำหุ้นเสนอขายให้กับประชาชน การจะนำหุ้นขายให้กับประชาชนนั้น เริ่มแรกบริษัทที่ได้รับอนุญาต จะกำหนดราคาของหุ้นไว้บนใบหุ้น หรือเรียกเป็นทางการว่า "มูลค่าที่ตราไว้" หรือ PAR VALUE หรือเรียกกันสั้นๆ ในหมู่นักลงทุนว่า "ราคาพาร์" หรือ "ราคาหน้าหุ้น" อันเป็นข้อมูลที่แสดงให้ทราบ ถึงมูลค่าเงินลงทุนเริ่มแรกสำหรับหุ้นนั้นแต่ละหน่วย อีกทั้งยังใช้แสดงให้ทราบถึงทุนจดทะเบียนตามกฎหมาย เช่น บริษัทเขียวส่องมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท แบ่งเป็น 10 ล้านหุ้น ดังนั้นมูลค่าของหุ้น 1 หุ้นจะเท่ากับ 10 บาท หุ้นบริษัทเขียวส่องจึงมีราคาพาร์ 10 บาทนั่นเอง ปัจจุบันเราจะเห็นว่า บริษัทที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้น มูลค่าที่ตราไว้หรือราคาพาร์ของหุ้น มีทั้ง 10 บาท 5 บาท และ 1 บาท ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้อหุ้น ต้องดูด้วยว่าหุ้นของบริษัทนั้นราคาพาร์เท่าใด หลังจากนั้น บริษัทจดทะเบียนจะเสนอขายหลักทรัพย์หรือหุ้น ให้กับประชาชน ทั่วไปหรือ PUBLIC OFFERING โดยจะต้องเสนอขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่รับเป็นผู้จัดจำหน่ายแทน อีกทั้งต้องทำหนังสือชี้ชวนตามหลักเกณฑ์ที่ กลต. กำหนด 

รวยด้วยหุ้น : มือใหม่หัดรวย ก้าวที่สี่ต้องรู้

  อ่านแล้วรวย  บัดนี้เราจะมารู้จักตัวประกอบสองตัวที่สำคัญของตลาดหุ้น นั่นคือ บริษัทต่างๆ ที่นำสินค้าคือหลักทรัพย์หรือหุ้น เข้ามาขายหรือระดมทุนจากนักลงทุนซึ่งเป็นผู้ซื้อ บริษัทที่จะนำหลักทรัพย์หรือหุ้น ขายให้กับประชาชนได้นั้น ต้องมีเงื่อนไขตามกำหนด และจะต้องได้รับอนุญาตจากกรรมการกำกับหลักทรัพย ์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ก่อน จึงจะนำหลักทรัพย์หรือหุ้น เข้ามาขายให้กับนักลงทุนได้ และบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นำหลักทรัพย์หรือหุ้น เข้ามาระดมทุนหรือขายในตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์ได้นี้ จึงถูกเรียกชื่อเป็นทางการว่า ”บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์” ซึ่งขณะนี้มีอยู่ประมาณ 300 กว่าบริษัท และมีบริษัทต่างๆ ทยอยเข้ามาในตลาด เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกซื้อเป็นระยะๆ บริษัทที่เข้าสู่ตลาดแล้ว เช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ PTT / บริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด ชื่อย่อ PTTEP / ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ KTB เป็นต้น 

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น : มือใหม่หัดรวย ก้าวที่สามต้องรู้

                   อ่านแล้วรวย จะเล่าต่อเรื่องตลาดหุ้นให้เข้าใจสำหรับมือใหม่ก่อนครับ เพราะหุ้นนั้นนอกจากเราจะวิเคราะห์ไปในอนาคตถึงแนวโน้มในอนาคตแล้ว  ยังต้องรู้ข้อมูลในอดีตมาเป็นข้อมูลสำคัญ ตลาดหุ้น คือแหล่งหรือศูนย์กลางระดมเงินทุนให้กับบริษัทเอกชน เพื่อนำไปใช้ก่อตั้งหรือขยายกิจการ อันจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ รวมทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ตลาดหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ ”ตลาดทุน” ตลาดหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือ Paris Bourse ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1681 (หรือ 100 ปีก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี) แต่ตลาดดังกล่าว ยังไม่ใช้ใบหุ้นซื้อขายแลกเปลี่ยนอย่างแท้จริง ตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจอย่างจริงจังตามลักษณะของตลาดหุ้น แห่งแรกคือตลาดหลักทรัพย์ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเริ่มธุรกิจซื้อขายหุ้นเมื่อปี พ.ศ. 2145 ซึ่งตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่กว่าตลาดหุ้นแห่งนี้ จะพัฒนาเป็นตลาดที่เข้มแข็งได้ ก็ใช้เวลาประมาณ 100 ปี ตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์ ที่เรามักจะได้ยินได้ฟังความเคลื่อนไหวบ่อยๆ คือตลาดหุ้นนิวยอร์ค (New York Stock Exchange หรือ NYSE) ของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2335 ซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตลาดหุ้นของไทย หรือชื่อเรียกเป็นทางการว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นั้น จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ จัดให้มีแหล่งกลางสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์ ทำหน้าที่ส่งเสริมการออมทรัพย์และระดมเงินทุนในประเทศ สนับสนุนให้ประชาชน มีส่วนเป็นเจ้าของกิจการและอุตสาหกรรมในประเทศ โดยการเข้าไปซื้อหรือถือหุ้นบริษัทต่างๆ ตลอดจนให้ความคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ให้เกิดความยุติธรรมในการซื้อขายหุ้น เมื่อประกาศใช้กฎหมายแล้ว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand หรือชื่อย่อคือ SET) เริ่มทำการซื้อขายวันแรกวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น:มือใหม่จะรวย ก้าวที่ 2 ที่ต้องรู้

                             "อ่านแล้วรวย"สำหรับผู้ต้องการก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น   มีตำนานของตลาดหุ้นและผู้เล่นหุ้นมีทั้งกลุ่มที่ประความสำเร็จกลายเป็นมหาเศรษฐี บางปีเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโอมาฮา ในทางตรงกันข้ามเมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์คตกต่ำในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1929 นั้นนักเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร บางคนถึงขนาดฆ่าตัวตายเพราะหมดเนื้อหมดตัว สำหรับประเทศไทยเมื่อคราวตลาดหุ้นตกต่ำอันเนื่องจากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อ พ.ศ.2540 นั้น มีนักลงทุนคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตาย ณ ตึกสินธร ที่ทำการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขณะนั้น ในทางตรงกันข้าม ตำนานนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ประสบความสำเร็จดั่งเช่นดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้นำการลงทุนหุ้นชนิดเน้นคุณค่าในประเทศหรือคนอื่นๆ ได้ปรากฎให้เป็นที่รับรู้กันเป็นระยะๆ ในเมื่อเรื่องของหุ้น และตลาดหุ้น มีสีสัน และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเศรษฐกิจ ถึงขนาดรัฐบาลประกาศเพิ่มมูลค่ารวมของตลาด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีออกมาคาดการณ์ระดับดัชนีหุ้นเป็นต้น ดังนั้น เพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั่วไป ที่อาจได้รับรู้แต่ความเคลื่อนไหว แต่ยังไม่รู้จักตลาดหุ้น และ หุ้น สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์จึงจัดทำรายงานเรื่องนี้ นำเสนอเป็นตอนๆ ดังนี้ สำหรับการประกอบธุรกิจทุกประเภท นอกจากปัจจัยด้านคน และการบริหารงานแล้ว ”เงินทุน” คือปัจจัยสำคัญยิ่ง ในการดำเนินงานเพื่อการลงทุนและขยายกิจการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ”ตลาดหุ้น” หรือ ”ตลาด” คือ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น:เงินปันผล สิ่งที่นักลงทุนควรคิดถึง

เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)
         ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นนั้นมีหลายรูปแบบ  เช่น กำไรจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่ม  แต่สิ่งหนึ่งที่อ่านแล้วรวยอยากให้นักลงทุนมือใหม่ใส่ใจมากๆ ก็คือ  เงินปันผล
เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) คำนวณได้จาก เงินปันผล (ต่อปี)ต่อหุ้น หารด้วย ราคาหุ้น ช้เปรียบเทียบ อัตราผลตอบแทนการลงทุนที่ได้จากเงินปันผล ของหุ้นที่มีราคา แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
หุ้น A
หุ้น B

เงินปันผลต่อหุ้น  = 4.0 บาท

เงินปันผลต่อหุ้น  = 4.0 บาท
ราคาปิด            =  80
ราคาปิด            =  120

Dividend Yield    5%

Dividend Yield    3.33%

หุ้น ให้เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูงกว่า เนื่องจากหุ้น มีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่หุ้นทั้ง 2 จ่ายเงินปันผลเท่ากัน คือ 4.0 บาท
หรือ อีกนัยหนึ่ง ประมาณว่าถ้านักลงทุน ลงทุนในหุ้น โดยซื้อที่ราคา 80 บาท และหุ้น จ่ายเงินปันผลเท่าเดิม นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผล 5ต่อปี
จะเห็นว่าตัวเลข เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) นอกจากจะใช้เปรียบเทียบอัตราผลตอบแทน จากเงินปันผลของหุ้น ที่มีราคาต่างกันแล้ว ยังสามารถใช้เป็นปัจจัยในการเปรียบเทียบหุ้นนั้นๆ กับการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่น เช่น หุ้นกู้ การฝากเงิน หรือพันธบัตร
          นักลงทุนที่ไม่ปรารถนาที่จะรับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น เช่น นักลงทุนรายใหม่ หรือ นักลงทุนที่ถอนเงินจากการฝากเงิน มาลงทุนในหุ้น อาจมองหาหุ้นที่มี เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่สูง จากตัวอย่างข้างต้นหุ้น ให้เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) เท่ากับ 5ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
อย่างไรก็ตาม เงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) คำนวณจากการจ่ายเงินปันผลในอดีต ในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา ไม่สามารถรับรองได้ว่า การจ่ายเงินปันผลจะเหมือนเดิมในอนาคต นอกจากนี้เงินต้นจากการลงทุน จะเปลี่ยนแปลงไปตามราคาหุ้นที่เปลี่ยนไปเมื่อทำการขายหุ้น ดังนั้นตัวเลขจึงเป็นเพียงตัวบ่งชี้ เพื่อการตัดสินใจของนักลงทุน