วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

รวยด้วยหุ้น:มือใหม่จะรวย ก้าวที่ 2 ที่ต้องรู้

                             "อ่านแล้วรวย"สำหรับผู้ต้องการก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น   มีตำนานของตลาดหุ้นและผู้เล่นหุ้นมีทั้งกลุ่มที่ประความสำเร็จกลายเป็นมหาเศรษฐี บางปีเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา อย่างเช่น วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโอมาฮา ในทางตรงกันข้ามเมื่อตลาดหุ้นนิวยอร์คตกต่ำในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1929 นั้นนักเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร บางคนถึงขนาดฆ่าตัวตายเพราะหมดเนื้อหมดตัว สำหรับประเทศไทยเมื่อคราวตลาดหุ้นตกต่ำอันเนื่องจากวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อ พ.ศ.2540 นั้น มีนักลงทุนคนหนึ่งพยายามฆ่าตัวตาย ณ ตึกสินธร ที่ทำการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขณะนั้น ในทางตรงกันข้าม ตำนานนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ประสบความสำเร็จดั่งเช่นดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้นำการลงทุนหุ้นชนิดเน้นคุณค่าในประเทศหรือคนอื่นๆ ได้ปรากฎให้เป็นที่รับรู้กันเป็นระยะๆ ในเมื่อเรื่องของหุ้น และตลาดหุ้น มีสีสัน และเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของเศรษฐกิจ ถึงขนาดรัฐบาลประกาศเพิ่มมูลค่ารวมของตลาด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีออกมาคาดการณ์ระดับดัชนีหุ้นเป็นต้น ดังนั้น เพื่อความเข้าใจอันดีของประชาชนทั่วไป ที่อาจได้รับรู้แต่ความเคลื่อนไหว แต่ยังไม่รู้จักตลาดหุ้น และ หุ้น สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์จึงจัดทำรายงานเรื่องนี้ นำเสนอเป็นตอนๆ ดังนี้ สำหรับการประกอบธุรกิจทุกประเภท นอกจากปัจจัยด้านคน และการบริหารงานแล้ว ”เงินทุน” คือปัจจัยสำคัญยิ่ง ในการดำเนินงานเพื่อการลงทุนและขยายกิจการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ”ตลาดหุ้น” หรือ ”ตลาด” คือ
ศูนย์กลางซื้อ-ขาย ”หุ้น” หรือที่เรียกเป็นทางการว่า ”หลักทรัพย์” ให้กับบริษัทต่าง ๆ ที่เสนอขายหุ้นให้กับประชาชน เพื่อบริษัทสามารถระดมทุนนำเงินไปลงทุน หรือขยายกิจการได้ บริษัทต่างๆ ที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ระดมทุนโดยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนได้นั้น เรียกเป็นทางการว่า ”บริษัทจดทะเบียน” และหุ้นที่นำมาขายนั้นเรียกเป็นทางการว่า ”หลักทรัพย์รับอนุญาต” แต่ภาษาชาวบ้านก็เรียกกันง่ายๆ ว่า ”หุ้น” โดยหุ้นแต่ละตัว จะมีอักษรย่อเป็นภาษาอังกฤษที่ใชกำกับ ซึ่งตัวย่อดังกล่าว จะเห็นทางหน้าจอโทรทัศน์ที่รายงานการซื้อขายสด เช่น 
      บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน ) ใช้ชื่อย่อ PTT
บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อย่อ KTB
บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ใช้ชื่อย่อ SCC
บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน ) ใช้ชื่อย่อว่า THAI เป็นต้น
 ปัจจุบัน บริษัทที่เสนอขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้กับประชาชน มีทั้งหมดประมาณ 300 กว่าบริษัท และบริษัทต่างๆ ยังทยอยเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนเป็นระยะ ๆ ทั้งนี้รวมทั้งรัฐวิสาหกิจที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทมหาชน เพื่อนำหุ้นเข้าเสนอขายผ่านตลาดหุ้นตามนโยบายรัฐบาล เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย / การไฟฟ้านครหลวง / การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค / องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ประชาชนที่ซื้อ หรือขายหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้นเรียกว่า ”นักลงทุน” หรือ ”ผู้ถือหุ้น” ซึ่งโดยหลักการแล้ว ผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากเงินปันผล อันเนื่องจากบริษัทที่นักลงทุนซื้อหุ้นไว้ดำเนินการประกอบกิจการได้กำไร ซึ่งเงินปันผลนี้จะจ่ายเป็นรายปี หรือรายงวด ขณะเดียวกัน ผลประโยชน์อีกทางหนึ่งคือส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อไว้ กล่าวคือ ผู้ลงทุนซื้อหุ้นไว้ที่ระดับราคาหนึ่ง แล้วต่อมาราคาเพิ่มขึ้นจนเป็นที่พอใจ ก็ขายหุ้นออกไป การขายครั้งนั้นก็ถือว่าได้กำไร ในทางตรงกันข้าม หากผู้ลงทุนไปซื้อหุ้นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานขาดทุน นอกจากอาจจะไม่ได้รับเงินปันผลแล้ว ราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อไว้ อาจตกต่ำลงมากว่าเมื่อครั้งที่เข้าไปซื้อ หากในช่วงราคาตก ผู้ลงทุนขายหุ้นออกไป ผลก็คือ ขาดทุนจากการลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าราคาหุ้นที่ซื้อไว้ จะสูงขึ้นหรือตกต่ำลง ผู้ลงทุน อาจจะถือครองหุ้นนั้นต่อไปนานเท่าใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ลงทุนเอง ตามข้อมูลของบริษัทที่ศึกษามาหรือได้รับ “หุ้น” หรือ ”หลักทรัพย์รับอนุญาต” ของบริษัทต่างๆ ที่ได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ทำการซื้อขายในตลาดฯ ได้นั้น มีทั้งหมด 4 ประเภท คือ หุ้นสามัญ /หุ้นบุริมสิทธิ์/ หุ้นกู้/ และหลักทรัพย์ที่รัฐบาลค้ำประกัน หุ้นประเภทที่เป็นที่รู้จักกันดีและเป็นส่วนใหญ่ของหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ คือ หุ้นสามัญ หุ้นสามัญดังที่ยกตัวอย่างมาคือ PTT / KTB / SCC / THAI เป็นต้น คือหุ้นที่แสดงความเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหรือซื้อหุ้นสามัญ มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบริษัทที่ออกหุ้นนั้น ๆ บริษัทเอกชนทุกบริษัทต้องมีหุ้นประเภทนี้ ในกรณีที่การดำเนินการธุรกิจประสบผลดี ผู้ถือหุ้น มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่บริษัทนั้นหามาได้ จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ ถ้าบริษัทได้กำไรดี นอกจากผู้ถือหุ้นจะได้ส่วนแบ่งของกำไร ซึ่งตามปกติจะจ่ายกันทุกปีแล้ว ราคาของหุ้นที่ซื้อไว้ ก็ยังมีโอกาสเพิ่มขึ้นด้วย หากนักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นออกไปขณะนั้น ผลคือ ได้กำไร ในทางตรงกันข้าม หากการดำเนินการของบริษัทนั้นขาดทุน ผู้ถือหุ้นก็ต้องได้รับส่วนแบ่งจากการขาดทุนด้วย จนอาจจะไม่ได้รับปันผลในปีนั้นๆ อีกทั้งราคาของหุ้น ก็อาจจะตกต่ำลงกว่าตอนที่ซื้อไว้ หากขายหุ้นออกไป ในช่วงที่หุ้นราคาตกต่ำกว่าราคาเมื่อครั้งซื้อมา ผลคือ ขาดทุน สรุปง่ายๆ ผู้ถือซื้อ หรือลงทุน ในหุ้นสามัญของบริษัทต่าง ๆ ที่เสนอขายและหมุนเวียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหุ้น ต้องรับภาระความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัทเต็มที่ ขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสรับส่วนแบ่งจากความสำเร็จของธุรกิจด้วยเช่นกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น